“เกิดเป็นหญิง แท้จริง แสนลำบาก” โดยเฉพาะเรื่องความสวยงามของใบหน้า เป็นปัญาหาหนักอกหนักใจยิ่งนัก เมื่อแรกเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยสาวก็ต้องเผชิญกับปัญหาสิว ครั้นพออายุก้าวเข้าสู่เลข 3 ผู้หญิงอย่างเราก็ต้องมาเผชิญกับปัญหาเรื่อง “ฝ้า” ที่ทำให้ใบหน้าเกิดร่องรอยด่างดำ หมองคล้ำ สาวๆบางคนก็ยอมปล่อยให้ฝ้าลุกลามขยายเต็มทั่วใบหน้า เพราะคิดว่าไม่นานก็คงหายเองได้ ด้วยว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันสาวๆอีกหลายคนพร้อมจะดิ้นรนทุกวิธีเพื่อรักษาให้เจ้าร่องรอยน่าเกลียดเหล่านี้เลือนหายไปจากใบหน้า
ส่วนสาเหตุของ “ฝ้า” เกิดขึ้นจากอะไร? สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่? แล้วเราจะป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าขึ้นได้อย่างๆไร ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่สาวๆต่างต้องการคำตอบที่ชัดเจน ฉะนั้นเราจึงมีคำตอบจากทุกคำถามมาฝากกัน ตั้งแต่ “ครีมทาฝ้าแบรนด์ไหนดี” “สาเหตุของการเกิดฝ้า” “ครีมรักษาฝ้าหายขาดมีจริงไหม” “วิธีรักษาฝ้าทั้งใช้ยาและแบบธรรมชาติ” “การป้องกันและดูแลปัญหาฝ้า” “วิธีการเลือกยี่ห้อครีมทาฝ้าที่ปลอดภัย” หรือกดที่ปุ่มด้านบน สารบัญเมนูได้เลยค่ะ
-
ครีมทาฝ้า RB Aqua Whitening Cream
ข้อดี ครีมทาฝ้า หน้าขาว RB Aqua Whitening Cream ช่วยรักษาฝ้าอย่างได้ผล แถมยังช่วยให้หน้าขาวใส ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้ช่วงกลางวันเป็นเดย์ครีม
• ราคา 850 บาท
• รูปแบบ ครีม
• ปริมาณ 30 g.
• เลข อย. : 10-4-6200000204
เพิ่มเติม : rb.in.th
-
ครีมทาฝ้า คอนเซ็ปท์ กล่องสีขาวแดง
ข้อดี ครีมที่มีมีวิตามินบี 3 วิธีการใช้ครีมทาฝ้าที่ดีที่สุด หลังจากสาวๆทำความสะอาดใบหน้า เพียงทาครีมบางๆบริเวณที่มีปัญหา ทันทีที่ตื่นนอน และก่อนนอนได้เลยจร้า
• ราคา 450 บาท
• รูปแบบ ครีม
• ปริมาณ 24 g.
• เลข อย. : 10-1-5309374
เพิ่มเติม : www.conceptcream.com
-
ครีมทาฝ้า ยูเซอริน กล่องสีขาว
ข้อดี ลดฝ้าแดด หนาลึก ด้วยยูเซอรินแบรนด์ดัง การันตี บำรุงผิว ลดปัญหาผิวในเรื่องของฝ้สได้ดีกว่า 20 เท่า มีส่วนให้สีผิวสม่ำเสมออย่างเห็นได้ชัด
• ราคา 750 บาท
• รูปแบบ เจล
• ปริมาณ 5 ml.
• เลข อย. : 10-2-5603283
เพิ่มเติม : www.eucerin.co.th
-
ครีมทาฝ้ากิฟฟารีน ขวดสีขาวเนื้อ
ข้อดี ครีมทาฝ้าใช้ตอนไหนดีที่สุด เพียงสาวๆลูบไล้ครีมให้ทั่วใบหน้า ทุกคืน ในเวลาก่อนเข้าก่อนนอนด้วยส่วนผสม AHA จากผลไม้ จะคอยบำรุงรอยฝ้าของสาวๆ ให้ดูจางลง
• ราคา 109 บาท
• รูปแบบ ครีม
• ปริมาณ 8 g.
• เลข อย. : 10-1-5951911
เพิ่มเติม : www.giffarine.com
-
ครีมทาฝ้า ยันฮี กล่องสีขาวน้ำเงิน
ข้อดี ครีมทาฝ้า มี อย. ของยันฮี ที่หลายคนมั่นใจ ไว้วางใจในคุณภาพ และยังหาซื้อได้ง่าย มี Tranexamic acid ที่มีส่วนช่วยบำรุงให้ผิวกระจ่างใส และเน้นเรื่องของการลดเลือนฝ้า กระ ลดจุดด่างดำ จากแสงแดด ได้เป็นอย่างดี
• ราคา 199 บาท
• รูปแบบ ครีม
• ปริมาณ 20 กรัม
• เลข อย. : 10-1-6100031600
เพิ่มเติม : www.yanheeonline.com
-
ครีมทาฝ้า Dora กระปุกสีขาว
ข้อดี : ครีมบำรุงผิว ช่วยลดเลือนฝ้า แบรนด์ โดร่า ที่มีน้ำตาลเชิงซ้อน ได้รับการสกัดจากเซลลูโลสของต้นพืช มีส่วนช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้ฝ้าดูจางลงด้วย สารสกัดจากธรรมชาติ
• ราคา 740 บาท
• รูปแบบ ครีม
• ปริมาณ 15 g.
• เลข อย. : 10-1-6100009387
เพิ่มเติม : www.doramelasma.com
-
ครีมทาฝ้า สมูทอี กล่องสีขาวเขียว
ข้อดี เซรั่มทาฝ้าจากสมูทอี มีส่วนในการช่วยดูแลฝ้า มาตรฐานที่ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังแล้วว่า ระยะเวลา 1 เดือนที่ฝ้าค่อยๆลดลงมีความปลอดภัยหากใช้อย่างเป็นประจำ
• ราคา 495 บาท
• รูปแบบ เซรั่ม
• ปริมาณ 24 g.
• เลข อย. : 10-1-5708742
เพิ่มเติม : www.smooth-e.com
-
ครีมทาฝ้า วิน 21 กล่องฟ้าขาว
ข้อดี Tranexamic Acid สารสกัดที่มีช่วยให้ความเข้มของ ฝ้า ค่อยๆลดเลือน แลดูจางลง เพราะมี Tyrosinase ที่ส่งผลให้การสร้างเม็ดสีเมลานินน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
• ราคา 350 บาท
• รูปแบบ ครีม
• ปริมาณ 15 ml.
• เลข อย. : 10-1-5520326
เพิ่มเติม : www.vin21thailand.com
-
ครีมทาฝ้า ลำไย ซองสีม่วง
ข้อดี เน้นในเรื่องของ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย ฝ้า เหมาะสำหรับสาวๆที่มีผิวพรรณอ่อนโยนมากๆเลยจร้า
• ราคา 299 บาท
• รูปแบบ ครีมซอง
• ปริมาณ 8 ml.
• เลข อย. : 10-1-6010012591
เพิ่มเติม : www.julaherbshop.com
-
ครีมทาฝ้า Vitara กล่องสีม่วง
ข้อดี ผิวขาวขึ้นจิง เพียงใช้ ครีมแก้ฝ้า ได้ผลจริง จาก Vitara มีส่วนช่วยทำให้ริ้วรอยฝ้า แลดูจางลงได้ใน 2 สัปดาห์ อย่างเห็นได้ชัดเจน
• ราคา 320 บาท
• รูปแบบ ครีม
• ปริมาณ 15 ml.
• เลข อย. : 10-2-5603283
เพิ่มเติม : Facebook Fanpage Vitara
-
ฝ้าเกิดจากอะไร ?
เชื่อได้ว่าสาวๆจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่าฝ้ามีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากอายุตัวที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยทอง หรือเป็นวัยหมดฮอร์โมน ซึ่งแน่นอนว่าต้องพบปัญหาเรื่องผิวพรรณตามมา หลายคนจึงนิยมมองหาครีมหน้าใส แต่ในความเป็นจริงแล้วฝ้าเกิดขึ้นจากเซลล์ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนัง เมลาโนไซต์ ผลิตเมลานินหรือที่เรียกว่าเม็ดสี ออกมามากเกินไป โดยมีสาเหตุหลายข้อดังต่อไปนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ คือ
- การได้รับยาบางชนิด
เช่น ยากันชักกลุ่มฟีไนโทอิน ยาคุมกำเนิด กลุ่มยาที่มีปฎิกิริยาที่ไวต่อแสง หรือยารักษาโรคหัวใจในบางชนิด เป็นต้น - เรื่องของพันธุกรรม
บางคนอาจคิดไม่ถึงว่ามีความเกี่ยวพันกันด้วย แต่ทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่าส่งผลอย่างแน่นอน ใครที่มีคนในครอบครัว ไม่ว่าจะปู่ ยา ตา ยาย พี่ ป้า เป็นฝ้ามาก่อน ก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าคนปกติ โดยเฉพาะคนที่มีผิวสีคล้ำอยู่แล้ว - การตั้งครรภ์
คือช่วงที่ฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลง เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น - สาวบางคนจะมีอาการแพ้สารจำพวกให้ความหอมที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง
ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว เกิดผิวอักเสบ ส่งผลให้มีรอยดำคล้ายฝ้าตามมา โดยมีผลการวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นยืนยันว่า ผู้ที่เป็นฝ้ากว่า 95% จะเกิดผิวอักเสบขึ้น หลังจากที่ได้ทดสอบสารแพ้บริเวณผิวหนัง ว่ามีสารบางอย่างจากเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดฝ้าได้ - แสงแดด
เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า ทั้งรังสียูวีเอ (UVA, Ultraviolet A) แสงยูวีบี (UVB, Ultraviolet B) และแสงที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า (Visi ble light) โดยบริเวณที่เกิดฝ้าจะเป็นส่วนของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อยที่สุด - การทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ
คือการทานอาหารไม่ถูกต้อง อาจมาก หรือ น้อยเกินไป เนื่องจากมีการพบว่า ผู้ที่เป็นฝ้าร่างกายเกิดการทำงานของตับผิดปกติ และผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 อีกด้วย
แหล่งที่มา : www.doctor.or.th
-
ลักษณะของฝ้า ที่สังเกตได้ชัด
จะมีลักษณะเป็นปื้นๆสีน้ำตาลหรือ ดำ ซึ่งการกระจายของปื้นอาจมีขอบเขตไม่ชัดเจน คืออาจมีสีเข้มตรงช่วงกลางๆแล้วช่วงขอบๆจะเริ่มจางลง สามารถขึ้นได้ทั่วใบหน้า ตำแหน่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆคือ หน้าผาก โหนกแก้มเหนือริมฝีปาก จมูก และที่สำคัญฝ้าถูกพบได้บ่อยในคนเอเชียที่มีสีผิวคล้ำ
-
ประเภทของฝ้า ที่มักพบเจออยู่บ่อยๆ
ทั่วไปแล้วฝ้าจะมี 4 ประเภทด้วยกัน คือ
- ฝ้าตื้น(Epidermal type)
มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้มหรือดำ มีขอบเขตเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเกิดขึ้นจากเมลานินใต้ผิวชั้นหนังกำพร้ากระจายตัวมากเป็นพิเศษ - ฝ้าลึก (Dermal type)
ต่างจากฝ้าตื้นคือเมลานินกระจายตัวลงไปลึกถึงชั้นหนังแท้ ทำให้ลักษณะปื้นมีสีอ่อนกว่าฝ้าตื้น โดยอาจมีทั้งสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีน้ำตาลเทา หรือสีม่วงอมน้ำเงิน ไม่มีขอบเขตชัดเจน และกลืนไปกับผิวหนังปกติรอบข้าง แถมยังรักษาได้หายยากมากๆ และข่าวร้ายคือสาวๆสามารถเกิดฝ้าขึ้นได้ทั้ง 2 ประเภทรวมกัน และไม่เพียงเกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้นเพราะผู้ชายก็มีโอกาสเกิดฝ้าขึ้นบนใบหน้าได้เหมือนกัน หากคุณลองใช้ครีมลดฝ้ามาหลายแบรนด์แล้วไม่เห็นผล คุณอาจอยากลองสร้างแบรนด์ตัวเองโดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ โรงงานผลิตครีมที่ดีที่สุด - ฝ้าผสม (Mixed type)
คือฝ้าที่ผสมทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกเข้าด้วยกัน และสาวๆส่วนใหญ่ก็มักเป็นฝ้าชนิดนี้ - ฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด (Indeterminate type)
ส่วนมากจะพบในคนที่สีผิวเข้มมากหรือคล้ำมากๆ เช่น คนนิโกร, แอฟริกัน เป็นต้น
แหล่งที่มา : http://haamor.com/
แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังระบุว่าฝ้าไม่ใช่โรคภัย แต่เป็นกลไกที่ร่างกายสร้างขึ้นมาป้องกันตัวเองตามธรรมชาติ นั่นก็คือการที่เราอยู่ในบริเวณที่มีแสงแดดจัด เซลล์ผิวหนังก็จะทำการผลิตเมลานินขึ้นมาเพื่อป้องกันแสงจากแดด
นอกจากนั้นธรรมชาติยังสร้างสรรค์ความแปลก ด้วยการให้คนผิวสีคล้ำมักจะอาศัยอยู่ในที่ที่มีแสงแดดแรงๆ เช่น คนนิโกร ในขณะเดียวกันคนผิวขาว อย่างคนยุโรปมักจะอาศัยในแถบที่มีแสงแดดน้อยๆ ฉะนั้นคนผิวขาวจะไม่ค่อยประสบปัญหาเกี่ยวกับฝ้า แต่กลับกลายว่าต้องผจญกับปัญหามะเร็งผิวหนังแทน ส่วนคนผิวสีจะไม่ค่อยเป็นมะเร็งผิวหนัง แต่ต้องเจอกับปัญหาเรื่องฝ้า
ซึ่งวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน การจะเข้าไปทำลายเม็ดสีทั้งหมดที่อยู่ในร่างกาย สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ร่างกายจะขาดเกราะป้องกันตัวเองในแบบธรรมชาติ และจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว โดยมีตัวอย่างให้เห็นชัดเจน อย่าง นักร้องชื่อดังระดับโลก ไมเคิล แจ๊คสัน ที่เปลี่ยนตัวเองจากคนผิวสีให้มาเป็นคนผิวขาว ผลสุดท้ายผิวหนังอ่อนแอลง ขาดภูมิต้านทานโรค จนไม่สามารถออกแดดได้เลย ถือว่าวิธีนี้น่ากลัวมากๆ
แนวทางการรักษาที่แพทย์ผิวหนังเลือกใช้รักษาคนไข้ที่เป็นฝ้า ก็คือการใช้ยาควบคุมให้เซลล์สีทำงานลดลงด้วยยา ซึ่งส่วนมากจะใช้เป็นยาทาภายนอกซึ่งสามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่หายขาดเมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงแดด ความร้อน หรือแสงไฟที่สว่างมากๆฝ้าเหล่านี้ก็จะกลับขึ้นมาสถิตย์อยู่บนใบหน้าใหม่ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% ด้วยการใช้วิธีที่ปลอดภัย แต่บางคนที่อาจสงสัยว่าคอลลาเจนช่วยเรื่องอะไรบ้าง? และสามารถช่วยลดฝ้าได้ไหม ซึ่งบางคนก็บอกว่าช่วยลดได้บ้างด้วยเหมือนกัน
แหล่งที่มา : www.doctor.or.th
-
รักษาฝ้าด้วยการใช้ยา
ผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อเกิดฝ้าขึ้นมาบนใบหน้ามักจะเลือกใช้วิธีซื้อครีมที่วางขายทั่วไปแล้วโฆษณาสรรพคุณต่างๆนานาว่าสามารถรักษาฝ้าได้หายขาด บางรายเคลมด้วยว่าจะไม่กลับขึ้นมาเป็นอีกแน่นอน หลายครั้งที่ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่ทางที่ดีคือการไปพบแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง ซึ่งแพทย์จะมีแนวทางรักษา คือ การรักษาด้วยยาทาจะเหมาะสำหรับใช้กับฝ้าตื้นซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ด้วยการทายาอย่างต่อเนื่องไปประมาณ 2 เดือนจะรู้สึกว่าสีของฝ้าดูจางลง และเริ่มเห็นผลชัดขึ้นใน 6 เดือน โดยยาที่ใช้ทามีดังนี้
- ยากลุ่มกรด วิตามินเอ (Retinoic acid)
เมื่อใช้เป็นประจำต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ขึ้นไป สามารถทำให้ฝ้าจางลงเห็นผลได้ดีขึ้น แต่มีข้อควรระวังคือยากลุ่มนี้ทำให้ผิวแห้งอาจทำให้ระคายเคืองผิว จึงไม่ควรใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไป ควรทาบางๆและในช่วงเวลาที่หน้าแห้งสนิท เพราะถ้าทาในขณะที่หน้าเปียกหรือชื้น จะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้นกว่าเดิม - ยากลุ่มไฮโดรควินโนน (Hydroquinone)
เป็นตัวยาที่นิยมใช้ในการรักษาฝ้า มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง ด้วยการเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสี นอกจากนั้นยังสามารถเข้าไปทำลายเม็ดสีบางส่วนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังอีกด้วย แต่การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพราะตัวยาอาจทำให้เกิดความระคายเคืองสูง แสบ และลอกเป็นขุยได้ - ยากลุ่มทรานีซามิก (Tranexamic acid)
มีทั้งแบบทาและรับประทาน เป็นยาที่นิยมใช้กันในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดยการเข้าไปลดการอักเสบใต้ผิวหนัง ช่วยทำให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลง ส่งผลให้ฝ้าจางลงไปด้วย - ครีมทาผิวขาวตามหมอสั่ง (Whitening)
อาจมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับยาไฮโดรควิโนนหรืออาจใช้ไฮโดรควิโนน เพื่อใช้ลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง มีข้อควรระวังคือมีสารที่ก่อให้เกิดการระเคืองต่อผิวหนัง จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
-
วิธีการรักษาฝ้าด้วยธรรมชาติ
สำหรับสาวๆที่อาจไม่กล้าใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาฝ้า ทั้งยาทาและครีมบำรุงต่างๆ เพราะไม่มั่นใจว่ายิ่งใช้จะยิ่งเห่อมากขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า?? ซึ่งวันนี้เรามีทางเลือกมาให้กับสาวๆ ด้วยการใช้สมุนไพรรักษาฝ้า รับรองว่ามีความปลอดภัย 100% แต่อาจจะต้องทำใจไว้ซะเล็กน้อยว่ากว่าจะเห็นผลคงต้องใช้เวลานิดหนึ่งคะ มาลองดูกันดีกว่าว่ามีสูตรสมุนไพรอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราห่างไกลจากฝ้า
-
ว่านหางจระเข้รักษาฝ้า
ว่านหางจระเข้เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษารอยแผลต่างๆที่ได้รับความนิยมมากอีก 1 ชนิด ฉะนั้นจึงสามารถนำมาใช้ในการรักษาฝ้าได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำว่านหางจระเข้ 1 ใบใหญ่ (เลือกใบที่แก่ๆหน่อย) นำไปแช่ในน้ำประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นก็ปอกเปลือกออกพร้อมกับล้างให้สะอาด นำไปปั่นหรือบดก็ได้แล้วแต่ความสะดวก แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หมั่นทำสูตรนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้งจะช่วยให้ฝ้าค่อยๆจางลง
-
รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า
สาวๆสามารถทำได้เองง่ายๆโดยนำหัวไชเท้าบดหยาบๆมาพอกทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10-20 นาที (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคนด้วยเช่นกัน หากว่าสาวๆเป็นคนผิวแพ้ง่ายไม่แนะนำใช้สูตรนี้) จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ถ้าจะให้ดีควรใช้โทนเนอร์หรือน้ำเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนกว้างขึ้น และหมั่นทำอย่างนี้สม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง หรือ จะทำวันเว้นวันก้ได้ รับรองเลยว่าฝ้าของคุณจะดูจางลงไปมากจนเห็นได้ชัด นอกจากจะเข้าไปช่วยลดฝ้าแล้วหัวไชเท้ายังมีคุณสมบัติพิเศษในการลดริ้วรอยทำให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วยล่ะ
-
รักษาฝ้าด้วยมะขามเปียก
อย่างที่ทราบว่ามะขามเปียกเป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงผิวผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดรอยด่างดำรวมทั้งรอยฝ้าได้เป็นอย่างดี เพียงแค่คุณนำเนื้อมะขามเปียกมาพอกหรือทาบางๆบริเวณที่มีรอยฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก แต่ถ้าหากว่าคุณไม่มีมะขามเปียกก็สามารถใช้เป็นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดมาแทนก็ได้
-
สูตรใบบัวบก
มีผลกการวิจัยรายงานว่าใบบัวบกมีคุณสมบัติในการช่วยรักษาอาการเกี่ยวกับโรคของผิวหนังได้ โดยเฉพาะรอยฝ้า กระ และสิว ส่วนขั้นตอนก็นำใบบัวบกมาปั่นแล้วนำน้ำมาเช็ดหน้าแทนการใช้โทนเนอร์ก่อนนอนทุกวัน เพียงเท่านี้สาวๆก็จะได้หน้าขาวเนียนสดใสกลับคืนมาแล้วคะ
-
สูตรไข่ขาว
สำหรับสูตรนี้อาจจะมีกลิ่นคาวสักหน่อย หากสาวคนไหนไม่ชอบบอกผ่านไปได้เลย ส่วนขั้นตอนก็นำไข่ขาวบริเวณรอบๆไข่แดง (เลือกเฉพาะไข่ขาว) มาทาบางๆไปทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งแช่ไว้ประมาณ 5-10 นาที สรรพคุณของไข่ขาวจะดูดซับรอยฝ้าและสิ่งสกปรกจากใบหน้าของสาวๆได้
-
สูตรน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ล
บางคนอาจจะคิดไม่ถึงว่าน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar) จะมีประโยชน์ในการดูแลผิวพรรณได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นั่นเป็นเพราะในน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรด จึงเข้าไปผลัดเซลล์ผิวเก่าให้ผิดใหม่ดูกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้นจนสัมผัสได้ เพียงแค่นำน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ลมาผสมกับน้ำเปล่าสักเล็กน้อยแล้วใช้สำลีชุบเช็ดไปให้ทั่วใบหน้า รอจนแห้งแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
-
ฝ้าป้องกันได้ง่ายกว่ารักษา
สาวๆที่อายุยังน้อยหลายคนมักชอบคิดว่า “ฉันอายุยังไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่เป็นไรหรอก รออายุเยอะๆก่อน ค่อยหาครีมมารักษาทีหลังก็ได้” บอกเลยว่าคิดผิดถนัดล่ะคะ ช่วงที่อายุยังไม่มากและยังไม่มีฝ้าขึ้นเป็นโอกาสเหมาะที่สุดแล้ว ที่จะหาทางป้องกัน เพราะหากรอให้เป็นฝ้าถึงค่อยมารักษา รับรองว่าไม่หายอย่างแน่นอน ฉะนั้นมาดูกันดีกว่าว่า วิธีป้องกันฝ้าขึ้นบนใบหน้าสวยๆของเรามีอะไรบ้าง
-
ป้องกันฝ้าจากแสงแดด
อย่างที่ทราบว่าฝ้าเกิดขึ้นมาจากกลไกป้องกันตัวเองของร่างกายเมื่อบริเวณไหนสัมผัสแดดบ่อยๆ เซลล์ผิวจะผลิตเม็ดสีเมลานินขึ้นมา เมื่อเกิดการสะสมของเมลานินใต้ชั้นผิวมากๆก็จะกลายเป็นรอยที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทิ้งไว้นานๆฝ้าก็จะหายยากขึ้น ฉะนั้นการป้องกันที่ดีสุดคือทาครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดเป็นประจำ
-
ป้องกันฝ้าจากฮอร์โมน
เกิดจากภาวะที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเทอโรนทำงานผิดปกติ ซึ่งถ้าฝ้ามาจากการทานยาคุมกำเนิดยี่ห้อที่กินอยู่ ก็ลองเปลี่ยนยี่ห้อใหม่ที่ไม่มีผลต่อระดับฮอร์โมนเท่าไหร่ หรือปรึกษาเภสัชกรก็ซื้อมาทานด้วยก็ยิ่งดี
-
ป้องกันฝ้าจากเครื่องสำอาง
ส่วนผสมของเครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์จะทำให้ผิวบางลง และเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นการป้องกันคือควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมเหล่านี้อยู่เลย
-
ป้องกันฝ้าจากยา
กรณีที่เกิดฝ้าขึ้นจากยา หรือโรคประจำตัว การเปลี่ยนยาคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ การป้องกันที่ทำได้คือการเลือกทาครีมบำรุงผิวที่สำหรับป้องกันฝ้าโดยเฉพาะ
-
ป้องกันฝ้าด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์
ไม่ใช่แค่การดูแลผิวจากภายนอกเท่านั้น ควรดูแลผิวจากภายในด้วยเช่นเดียวกัน วิธีง่ายๆคือการเลือกทานอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ซึ่งวิตามินเหล่านี้จะพบมากในผักและผลไม้ เมื่อผิวของคุณแข็งแรงขึ้น ฝ้าก็จะไม่สามารถขึ้นมาเยือนบนผิวหน้าของคุณอย่างแน่นอน
แหล่งที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม : www.ladyissue.com
-
การดูแลผิวในขณะที่ใบหน้าขึ้นฝ้าง่ายๆด้วยตัวเอง
เมื่อสาวๆมีปัญหาใบหน้าเกิดรอยฝ้าขึ้น อาจวิตกกังวลว่าจะดูแลผิวหน้าอย่างไรในระหว่างที่กำลังรักษาอยู่ บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยคะ!! เพราะคุณสามารถทำเองได้ง่ายๆเพียงแค่ 5 ขั้นตอนนี้เท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง??
-
ทำความสะอาดผิวหน้า
เพราะสาเหตุของการเกิดฝ้าส่วนหนึ่งมาจากมลภาวะ ฝุ่นควัน และสารเคมีจากเครื่องสำอาง ฉะนั้นจึงควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ในช่วง เช้า-เย็น
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่มีค่า pH อ่อนโยนต่อผิวหน้าโดยเฉพาะ
- เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวของใบหน้า เช่น ผิวหน้ามัน ไม่ควรเลือกโฟมที่ล้างแล้วทำให้หน้าแห้ง หรือขาดความชุ่มชื้น , ผิวผสม สามารถใช้โฟมได้หลายประเภทมากกว่าผิวประเภทอื่น แต่เน้นใช้โฟมที่ถนอมผิวจะดีที่สุด
- เวลาทำความสะอาดผิวหน้าให้ไปตามแนวรูขุมขนบนใบหน้า
- ใช้โทนเนอร์เช็ดผิวหน้าหลังจากทำความสะอาดผิวหน้าเรียบร้อยแล้ว ให้ใบหน้าสะอาดยิ่งขึ้น
-
ใช้น้ำมันเพื่อลดรอยดำ
ด้วยการเลือกใช้น้ำมันที่สกัดขึ้นมาจากธรรมชาติ มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อเข้าไปลดรอยดำจากฝ้า กระ และจุดด่างดำ อย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันละหุ่ง เป็นต้น
- น้ำมันมะพร้าว อุดมไปด้วยกรดลอริกซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค ช่วยทำให้รอยฝ้า กระ จุด่างดำ ดูจางลง แถมวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวยังทำให้ผิวชุ่มชื้น และขาวกระจ่างใสขึ้น
- น้ำมันละหุ่ง มีวิตามินอี ไตรกลีเซอไรด์ สรรพคุณต้านการอักเสบและต้านสารอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดริ้วรอย ฝ้า กระ รอยดำจากสิว อย่างมีประสิทธิภาพ
-
หมั่นสครับผิว และ พอกหน้าอย่างสม่ำเสมอ
การสครับผิวสามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว โดยเฉพาะร่องรอยจากฝ้า กระ ให้ค่อยๆหลุดลอกออกไปได้อย่างเห็นผลชัดเจน รวมทั้งการพอกหน้าก็เป็นการเพิ่มสารอาหารให้กับผิวหน้าอีกช่องทางหนึ่ง และยังช่วยลดรอยดำ พร้อมกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ อีกด้วย เช่น สครับข้าวโอ๊ตบด, สครับน้ำตาลทรายแดง, พอกหน้าด้วยมะขามเปียก, พอกหน้าด้วยวุ้นหางจระเข้ และแผ่นมาร์คหน้าสำเร็จรูป
-
ทาครีมกันแดด
เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่จะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ดังนั้นจึงเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA++++ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของครีมกันแดดให้ดียิ่งขึ้น ควรทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
- ถึงแม้ว่าจะอยู่ภายใต้อาคารก็จำเป็นต้องทาครีมกันแดดด้วย เพราะทั้งรังสีจากคอม และหลอดไฟฟ้าก็มีส่วนทำลายผิวให้เกิดฝ้าได้ด้วยเช่นกัน
- พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา00 – 16.00 น.
- เมื่อต้องออกไปผจญกับแสงแดดควรแต่งกายให้มิดชิด เพื่อปกป้องผิวไม่ให้ต้องเจอกันแสงแดดโดยตรง
-
ดูแลตัวเอง
เริ่มต้นจากการดูแลตัวเองจากภายใน เช่น การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์, ดื่มน้ำสะอาด, พักผ่อนอย่างเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ส่งผลไปถึงผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส พวกร่องรอยดำจากสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆ ค่อยๆจางลงอย่างที่คุณก็รู้สึกได้
แหล่งที่มา [ข้อมูลภาษาอังกฤษ] : www.skininc.com
-
วิธีเลือกครีมแก้ฝ้าอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว
ครีมแก้ฝ้าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนๆก็มักจะเคลมสรรพคุณว่าใช้แล้วหน้าขาวขึ้น ฝ้าจางลง เห็นผลได้ 100% ไม่กลับมาเป็นซ้ำอย่างแน่นอน แต่ทว่าสาวๆจะทราบได้อย่างไรว่า ครีมแก้ฝ้าเหล่านี้จะช่วยได้จริง ปราศจากสารเคมีที่จะทำอันตรายต่อผิว!! ฉะนั้นมาดูกันดีกว่าว่าจะเลือกครีมแก้ฝ้าอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิวของเรา
-
เลือกครีมรักษาฝ้าที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีทำร้ายผิว
- ไม่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนน
สารไฮโดรควิโนนมีสรรพคุณในการยับยั้งเมลานินในชั้นผิว สามารถทำให้ฝ้าจางหายลงไปได้ในระยะเวลาไม่นาน แต่การจะนำมาใช้ควรต้องอยู่ในปริมาณที่แพทย์กำหนดเท่านั้น ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายคำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว ด้วยการผสมสารไฮโดรควิโนนในปริมาณที่มากกว่าแพทย์กำหนด เพราะประสงค์ให้ผู้บริโภคที่ทดลองใช้แล้ว เห็นผลรวดเร็วทันใจ ซึ่งแทนที่จะได้ผลดี กลับกลายเป็นผลเสียตามมา และเมื่อหยุดใช้ฝ้าก็จะกลับขึ้นมาอีก บางคนโชคร้ายแพ้หนักๆจนผิวไหม้ ถึงขั้นโดนแสงแดดไม่ได้เลยก็มี
- ไม่มีส่วนผสมของสารปรอทแอมโมเนีย
เพราะร่างกายสามารถดูดซึมสารปรอทผ่านเข้าทางผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว ทำหน้าที่เข้าไปยับยั้งในการสร้างเมลานินใต้ผิว ทำให้ใบหน้าขาวขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีอันตรายต่อผิวหนัง เกิดอาการ หน้าบวมแดง มีสิวเห่อ ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน ไตวาย ถ่ายเป็นเลือด เกิดภาวะเลือดจาง ถือว่าเป็นอันตรายมากๆ หากเจอครีมรักษาฝ้าที่บรรยายสรรพคุณว่าขาวเร็ว ขาวทันใจ ฝ้าจางลงเองภายใน 3 วัน เชื่อได้เลยว่ามีสารเคมีอันตรายผสมรวมอยู่ด้วยแน่นอนคะ - ไม่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
ครีมรักษาฝ้าส่วนมากมักจะผสมสารสเตียรอยด์ เพราะคุณสมบัติหลักคือ ทำให้หน้ามีผิวขาวไว หน้าเนียน แต่ยังทำให้หน้าแพ้ง่ายอีกด้วย การที่ใช้สารสเตียรอยด์รักษาฝ้าไปนานๆหรือในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น ผิวบาง ผิวลาย หรือสิวตุ่มนูนขึ้นเต็นใบหน้า
-
เลือกครีมรักษาฝ้าที่สกัดมาจากธรรมชาติ
- สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ
ข้อดีในการเลือกใช้ครีมรักษาฝ้าที่มาจากสมุนไพรคือ มีโอกาสเสี่ยงที่จะแพ้น้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะสมุนไพรที่นำมาสกัดสำหรับใช้รักษาฝ้านั้น นอกจากจะรักษาฝ้าแล้วยังเข้าไปช่วยบำรุงให้ผิวหน้าชุ่มชื่นแข็งแรงได้อีกต่างหาก - มีกรด AHA ธรรมชาติ
การเลือกครีมรักษาฝ้าที่มีสารสกัดจากกรดธรรมชาติ อย่างเช่น กรดแอเซเลอิก และกรดเรตินอยด์ ซึ่งกรดเหล่านี้จะเข้าไปทำปฎิกิริยาช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำให้หลุดลอกออกมา จงส่งผลให้รอยฝ้าต่างๆค่อยจางลง แต่ไม่แนะนำสำหรับสาวๆที่แพ้กรด AHA ให้ใช้ครีมรักษาฝ้าชนิดนี้คะ
-
ควรทดสอบอาการแพ้ครีมรักษาฝ้าก่อนเริ่มใช้
- ขั้นตอนการทดสอบอาการแพ้ครีม
ก่อนอื่นให้ลองแต้มครีมที่ต้องการทดสอบลงไปที่บริเวณใต้ท้องแขน หรือข้อพับ หลังใบหู (ห้ามทดสอบที่บนใบหน้าเด็ดขาด) จากนั้นเอาพลาสเตอร์แปะครีมไว้ทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง หากพบว่ามีอาการแสบแดง คัน มีตุ่มนูนๆขึ้นมา หมายความว่าคุณมีอาการแพ้ ต้องหยุดการใช้ครีมตัวนี้ไปเลย
- ขั้นตอนการตรวจสอบสารเคมีอันตราย
นำผงซักฟอกกับน้ำมาผสมกันให้ข้นพอได้เป็นลักษณะเนื้อครีม จากนั้นก็เอาครีมที่จะทดสอบมาป้ายบนทิชชู่ แล้วป้ายผงซักฟอกที่เราผสมไว้ครั้งแรกลงบนครีม ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ถ้าครีมเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล แสดงว่าในครีมผสมสารที่ไม่เหมาะกับใช้บนผิวหน้า เช่น ไฮโดรควิโนน, สารปรอท เป็นต้น
-
เคล็ดลับรักษาฝ้าสำหรับว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
อย่างที่ทราบกันดีว่าฮอร์โมนก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ระดับฮอร์โมนซึ่งมีปริมาณมาก ทำให้คุณแม่หลายคนรู้สึกวิตกกังวลต่อความสวยงามบนใบหน้าใช่ไหมล่ะคะ แต่ครั้นจะใช้ครีมทาฝ้าแบบปกติทั่วไปก็เกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อลูกร้อยในครรภ์ ถ้าอย่างนั้นลองมาใช้วิธีดูแลรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติแบบปลอดภัยสุดๆกันดีกว่าคะ
-
ห่างไกลจากแสงแดด
พยายามอย่าออกไปเผชิญแสงแดดในช่วงที่ร้อนจัด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรเลือกเวลาที่แดดอ่อนๆ เช่นออกไปธุระนอกบ้านหรือเดินเล่น หากในช่วงเช้าคือ 06.00 – 08.00 น.หรือในช่วงเย็นคือหลัง 16.00 น.เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าที่เกิดขึ้นอยู่แล้วแปรสภาพเป็นฝ้าลึกมากไปกว่าเดิม แถมการได้รับแดดช่วงเช้าในเวลานี้ว่าที่คุณแม่ยังจะได้รับวิตามิน D ที่ช่วยส่งผลเรื่องการดูดซึมแคลเซี่ยม และระบบการย่อยอาหารอีกด้วย
-
พยายามหลีกเลี่ยงความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ฮอร์โมนในร่างกายที่ปรับสูงขึ้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความเครียดและอารมณ์แปรปวน ที่เข้าไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสี ยิ่งเข้าไปกระตุ้นให้ใบหน้าเกิดฝ้ามากขึ้น ดังนั้นการพยายามไม่ให้ตัวเองรู้สึกเครียดก็สามารถช่วยป้องกันฝ้าอีกวิธีหนึ่ง และที่สำคัญไม่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในท้องด้วยล่ะคะ
-
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ คือการที่คุณแม่เลือกทานผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินอี เช่น แครอท แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น เพื่อช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดี ขาวกระจ่างใส และฝ้าดูจางลงได้อย่างยอดเยี่ยม
-
มาร์กหน้าด้วยสูตรจากธรรมชาติ
ในเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์อาจอยากหลีกเลี่ยงที่จะใช้ครีมชนิดต่างๆในการรักษาฝ้า ลองเปลี่ยนมาใช้เป็นสูตรมาร์กหน้าจากธรรมชาติกันบ้างแบบง่ายๆ คือ
- หัวไชเท้า :
นำเอาหัวไชเท้ามาล้างให้สะอาดแล้วบดจนละเอียดพอกทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 – 15 นาที ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง สรรพคุณของหัวไชเท้าจะช่วยทำให้รอยฝ้าดูจางลง แต่ไม่แนะนำสำหรับคุณแม่ผิวบอบบางแพ้ง่าย เพราะอาจจะยิ่งทำให้เกิดอาการแพ้และแสบผิวมากขึ้นกว่าเดิม - มะขามเปียก :
นำมะขามเปียกมาพอกหรือทาบริเวณที่หน้าขึ้นฝ้า ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 5 – 10 นาที แล้วล้างออก มะขามเปียกจะเข้าไปช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าทำให้ฝ้าจางลงได้ - ใบบัวบก :
เป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการรักษาอาการของโรคผิวหนัง เช่น ฝ้า กระ สิว และช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยด่างดำจากฝ้า เพียงนำใบบัวบกไปปั่นแล้วคั่นเอามาเฉพาะน้ำมาเช็ดที่ใบหน้าแทนโทนเนอร์ทุกวันเป็นประจำ
ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่าการป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าควรเริ่มป้องกันตั้งแต่สมัยวัยเด็ก ด้วยการไม่ไปยืนตากแดดเป็นเวลานานๆ กรณีที่ต้องไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ให้ใส่เสื้อแขนยาว สวมหมวก หรือจะกางร่ม ตามแต่ความเหมาะสม ส่วนการใช้ครีมกันแดดนั้น ควรใช้เฉพาะจุดที่ป้องกันได้ยาก อย่างบริเวณใบหน้า รวมทั้งการเลือกครีมกันแดดที่ใช้ต้องเลือกที่ปลอดภัย ไม่มีสารอันตรายเจือปนอย่างสารปรอท ไฮโดรควิโนน จะเป็นหนทางดีที่สุดในการช่วยให้ใบหน้าไร้ฝ้าคะ